พาลูกเที่ยว…ได้อะไรมากกว่าที่คิด

หนาวนี้แม่ๆ มีแพลนพาลูกๆ ไปเที่ยวที่ไหนกันคะ…

สำหรับบ้านนี้ เราจะไปญี่ปุ่นกันค่ะ เราแพลนและจองตั๋วกันไว้ตั้งแต่ พ.ย. ที่แล้ว เลือกไปช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จุดหมายคือ อยากพาลูกสาว น้องเจเปค ไปดูภูเขาไฟภูจิและเดินเที่ยวในโตเกียว อยากให้เค้าเห็นการใช้ชีวิตที่เป็นระเบียบมากๆ ของคนญี่ปุ่นค่ะ (เพราะอยู่บ้านนางจะกรี๊ดกร๊าดหน่อยๆ)

ควรพาลูกเที่ยวตอนอายุเท่าไหร่…

เป็นคำถามที่แม่ๆ กังวล กลัวนู้นนี่ รวมถึงเสียงจากรอบข้างว่าน้องยังเล็ก เที่ยวไปก็จำอะไรไม่ได้ แต่บ้างบ้านก็อยากใช้สิทธิ์ค่าตั๋วราคาพิเศษสำหรับเด็ก 7 วัน – ไม่เกิน 2 ปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละสายการบิน สำหรับน้องเจเปค ครั้งนี้เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งที่ 2

ขอเล่าย้อนหลังนิดนึงค่ะ  ครั้งแรกของน้องไปตอน 1 ขวบ 1 เดือน เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่โอซาก้า  อย่างที่บอกไปตอนต้น ว่าเสียงรอบ ๆ ตัวที่บอกว่าน้องยังเล็กไป พาไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก จำอะไรไม่ได้หรอก  แต่หลังจากกลับมาจากรอบแรก หลายครั้งที่น้องเจออะไรเกี่ยวกับที่ตัวเองเคยทำที่นู่น ไม่ว่าจะเป็นขึ้นรถไฟ โหนรถไฟ ใบไม้แดง อาหารญี่ปุ่น น้องจำได้เยอะจนทุกคนงงไปเหมือนกัน เราพ่อแม่ก็แฮปปี้สิคะ

จริงๆแล้วลูกสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้ แต่อาจจะจำได้ไม่ละเอียดเหมือนผู้ใหญ่  เด็กวัย 1-3 ปี เป็นวัยทองแห่งการเรียนรู้ ความเฉลียวฉลาด และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ต้องได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากพ่อแม่ เพื่อให้สมองเติบโตมีพัฒนาการเต็มศักยภาพ  เราเลยตั้งใจว่าจะพยายามพาลูกไปเก็บประสบการณ์ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

รอบนี้เลยตั้งใจใช้ช่วงเวลาปิดเทอมพาน้องไปเที่ยว  โดยทริปนี้มีสมาชิกทั้งหมดเป็นผู้ใหญ่ 5 คน เด็ก 1 คน โดยทริปนี้ เราไปกับแบบแพลนหลวม ๆ แล้วไปปรับเอาตามสภาพอากาศและ ความพร้อมของเด็กน้อย  ซึ่งคราวนี้อะไรๆก็อาจจะไม่ง่ายเหมือนคราวที่แล้วนะคะ เพราะไปคราวที่แล้วนางยังเดินไม่ได้และพูดไม่ได้   แต่คราวนี้สิคะคุณขา ทั้งซน ทั้งแสบ ทั้งวิ่ง ทั้งพูดเยอะ โอยไม่อยากจะคิดเลยค่ะ  ฮ่าๆๆๆ  พ่อกับแม่เลยต้องเตรียมตัวทั้งสุขภาพกายและสุภาพใจให้พร้อมกันพอสมควร   และนอกจากนี้อุปกรณ์ของใช้สำหรับเด็กก็ควรจะเตรียมให้พร้อมไว้ก่อนเพื่อความสะดวกในการเดินทางค่ะ

เริ่มจัดกระเป๋ากันค่ะ

  1. เสื้อผ้า เนื่องจากช่วงที่ไป เชคอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 8-20 องศา ซึ่งก็ถือว่าเย็นพอสมควรสำหรับเด็กค่ะ แถมยังมีฝนในบางวันอีกด้วย สำหรับเสื้อผ้ากันหนาวเด็กที่เราเลือกดูคือ Uniqlo ค่ะ เพราะค่อนข้างครบ และสะดวกสำหรับที่บ้านเรา ได้เสื้อกันลมและกันหนาวมา 1 ตัว พร้อมเสื้อฮีทเทคคอเต่า 1 ตัว เสื้อ extra warm ฮีทเทค 1 ตัว และกางเกงฮีทเทคอีก 2 ตัว ค่ะ  ส่วนเสื้อผ้าอื่น ๆ ก็เน้นที่ใส่สบายตัว ไม่อึดอัด เอาตามแบบที่น้องชอบเลยค่ะ  เสื้อกันหนาวน้องแบบนี้เลยค่ะ ด้านในมีฮีทเทคทั้งกางเกงและเสื้อ สบายค่า
  2. อุปกรณ์กันหนาวอื่นๆเราเตรียม ถุงมือกันหนาว หมวกไหมพรหม ผ้าพันคอ ถุงเท้า  และรองเท้าผ้าใบที่น้องใส่สบายค่ะ
  3. ของใช้ส่วนตัวก็จะเตรียมแพมเพิสไว้สำหรับการเดินทางบนเครื่องบินและรถไฟ ซึ่งเป็นตัวช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ลดความวุ่นวายระหว่างเดินทางได้ดีเลยค่ะ นอกจากนี้ก็จะมีเจลล้างมือสำหรับเด็ก ทิชชูเปียก และยา ที่จะติดกระเป๋าแม่อยู่ตลอดเวลาค่ะ
  4. ยา ที่เตรียมไปหลัก ๆ ก็จะมี ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก (Zyrtec) ยาลดไข้ (Tempra) ยาแก้ไอ vic แผ่นแปะลดใข้  ยาแก้ท้องเสีย
  5. รถเข็นเด็ก เรื่องใหญ่สำหรับการพาเด็กเล็กเที่ยวต่างประเทศกันเลยค่ะ  สำหรับเด็ก 4 ขวบ รถเข็นยังเด็กเป็นสิ่งจำเป็นมากในการท่องเที่ยวแบบนี้อยู่นะคะ เพราะน้องยังไม่สามารถเดินไกล ๆ แบบผู้ใหญ่ได้ หากเหนื่อยหรืองอแงขึ้นมา คุณพ่อคุณแม่คงต้องอุ้มด้วยแล้วเดินกันไปด้วยวันเป็นสิบกิโล คงไม่ไหวค่ะ หมดสนุกแน่นอน

แต่ด้วยความที่มีประสบการณ์จากครั้งแรกตอนขวบนึงมาแล้ว ครั้งนั้นใช้รถเข็นคันใหญ่ น้ำหนักเยอะ พับยาก ไม่คล่องในการเดินทางเอาซะเลยค่ะ บางสถานีรถไฟในญี่ปุ่นไม่มีลิฟท์ ทำให้ต้องยกรถกันเหนื่อยเลย

ไปครั้งนี้เราเลยเลือกรถเข็นเด็กกันพอสมควรค่ะ ดูกันหลายแบรนด์ ทั้งที่พับได้เล็กมาก ๆ พับไม่เล็ก แต่เบากว่า   ซึ่งสุดท้ายเราเลือกรุ่นที่มีน้ำหนักเบาที่สุด แข็งแรง ล้อใหญ่ และสามารถพับง่ายได้ด้วยมือเดียว ซึ่งน่าจะสะดวกกับการเดินทางของเรามากที่สุด นั่นคือตัว Aprica Magical Air Plus High Seat โดยมีน้ำหนักแค่ประมาณ 3 กิโลกรัมนิดๆเองค่ะ  แข็งแรงไว้ใจได้ ปรับนอนได้อย่างสบาย และในบางจังหวะคุณแม่สายสตรองอย่างเราสามารถหิ้วรถเข็นมือนึง และอุ้มลูกอีกมือนึง ได้สบายๆเลยล่ะค่ะ

ฝนตกก็บ่ยั่น ลุยลงพื้นขรุขระก็สบายค่ะ

ตัวหนอนก็ไปได้

นอนดูฟูจิเพลินไปเลย

รถเข็นเด็กเอาขึ้นเครื่องบินยังไง

เราสามารถเข็นรถไปแจ้งที่เค้าเตอร์เชคอินของสายการบินได้เลย ว่าเราต้องการเข็นรถเข็นน้องเข้าไปในเกตได้เลยค่ะ  เจ้าหน้าที่ก็จะติด Tag ที่รถเข็นให้ หลังจากนั้นเราก็เข็นน้องเข้าไปได้จนถึงประตูเครื่องบินเลยค่ะ อันนี้สะดวกมากๆ ไม่ต้องอุ้มให้เปลืองพลังงาน สบายไปแปดอย่างเลยค่ะ พอถึงปลายทาง เดินออกจากเครื่อง รถเข็นก็จะมารอ พร้อมลุยกันได้เลย

เรื่องความกังวลในการเดินทางบนเครื่องบิน

อันนี้ยอมรับว่าแม่กังวลมากเลยค่ะ  จากคราวที่แล้วที่พาขึ้นเครื่องตอนน้องอายุ 1ขวบ1เดือน น้องยังพูดไม่คล่อง ยังเดินไม่ได้ ใช้เบาะนอนสำหรับเด็กบ้าง การหลอกล่อเด็กน้อยจึงไม่ใช่เรื่องยาก  แต่ทริปนี้ด้วยความที่น้องโตขึ้น และมีความแสบสัน ระดับ 8  มีความพูดเยอะระดับ10   การเดินทางยาว 6 ชม. ในเครื่องบินของนางจึงเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวต่อการรักษาความสงบภายในห้องผู้โดยสารเป็นอย่างมาก

ทางเรานั้นคิดวิธีต่างๆนาๆ ที่จะทำให้นางนิ่ง ซนน้อยๆ พูดเบาๆ  สิ่งที่บ้านเราเตรียมไว้สำหรับ final choice คือ โหลดการ์ตูนที่น้องชอบมาเผื่อไว้แบบเต็มพิกัดกันไปเลยค่ะ เอาแบบอยากดูอะไรเต็มที่ไปเลยให้โอกาสแค่ 6 ชม.นี้เท่านั้น ฮ่าๆๆ      แต่พอถึงเวลาจริง พอเครื่องเริ่มเทคออฟ เจ้าแสบน้อยกลับมาเกาะแขนป่ะป๊า กลัวเสียงดังของเครื่องบิน แล้วก็หลับไปเฉยเลย  ตื่นอีกทีหลังจากบินไปแล้วครึ่งทาง โอ้ว..โลกสงบสุขกว่าที่คิดไว้เยอะเลยค่ะ    เวลาที่เหลือก็หลอกล่อด้วย ขนมบ้าง ของเล่นบ้าง  การ์ตูนบ้าง สลับวนๆไปค่ะ   สรุปว่าการรักษาความสงบภายในเครื่องบินของเราครั้งนี้ดีเกินคาด คลายความกังวลไปเลยค่ะ  เกาะแขนแน่นเลย

แล้วนางก็ตีตั๋วนอนค่ะ ป่ะป๊าก็ลุกเดินวนไป

เรื่องสำคัญของพวกเรา “อาหารการกิน”

ในช่วงก่อนเดินทาง เราคุยกับน้องทุกวันว่าอยู่นู่นเราต้องกินง่ายๆ อยู่ง่ายๆนะคะ จะได้ไปเที่ยวกันสนุก ๆ กินอะไรก็ได้ กินที่ไหนก็ได้  ซึ่งตอนแรกก็ห่วงกันว่าจะต้องกินข้าวเปล่ากับไข่ต้มกันยาว ๆ รึเปล่า แต่สุดท้ายความกังวลทุกอย่างก็หมดไป น้องกินแหลกมากค่ะ ซูชิ อุด้งราเมน ข้าวปั้นจิ้มไข่กุ้งกับไข่แซลมอน (ซื้อไข่เป็นกล่องตาม supermarket) ปลาดิบ กุ้งหวาน ข้าวหน้าปลาไหล ไอติม ผลไม้สด  บางวันก่อนนอนยังร้องกินโอเด้ง 7 อุ่น ๆ ปิดท้ายวัน สายแหลกมากๆ ไม่ต้องเดาเลยว่าลูกใคร  ฮ่าๆๆๆๆ

มื้อแรกที่โตเกียว หน้าตาง่วงมาก แต่ก็ซดหมด
ร้องกินติมจ้า แถมยังบอกอีกว่า ดีเนอะแม่ ไอติมไม่ละลาย

ข้าวหน้าปลาไหลครึ่งชาม และ กินมาม่าครั้งแรก ก็ที่นี่ล่ะค่า

มีรูปครอบครัวแล้ว

น้องเจเปค สาวน้อยวัย 4 ขวบ จะพาเที่ยวญี่ปุ่นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่กำลังงามสะพรั่ง แนะนำการเตรียมตัวพาลูกเที่ยว ตั้งแต่จัดกระเป๋า อุปกรณ์กันหนาว และรถเข็นเด็กคู่ใจ ตามรีวิวนี้ได้ที่ https://pantip.com/topic/37072412 และฝากติดตามเพจพาลูกเที่ยว https://www.facebook.com/goaroundkid/

ขอบคุณรีวิวน้องเจเปคกับรถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Magical Air Plus Highseat ที่ช่วยให้การเดินทางทริปนี้สะดวกสบาย และคล่องตัวมากๆค่ะ

…ข้อแนะนำ…

รถเข็นเด็กเป็นสิ่งจำเป็นมาก เมื่อต้องไปต่างประเทศ ควรเลือกแบบที่พับกางง่าย เพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง นอกจากนี้ความสบายของเด็กๆ ก็สำคัญเช่นกัน ต้องเป็นผ้าระบายอากาศ ไม่ร้อน ปรับเอนนอนได้ ถ้าเด็กๆ สบายตัว ไม่อึดอัด เขาก็จะสนุก มีความสุข ไม่งอแง ปิดเทอมนี้จัดทริปเลยค่ะ สนุกแน่นอน

#รถเข็นเด็กยอดขายอันดับ1ในญี่ปุ่น

#Aprica70ปีที่ใส่ใจคุณและลูกน้อย

ร่วมฉลองความยิ่งใหญ่ ครบรอบ 70 ปี Aprica

เป็นเวลากว่า 70 ปีแล้ว ที่  Aprica ได้เป็นผู้ผลิตชั้นนำของ รถเข็นเด็ก คาร์ซีท และ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอื่นๆ ผลิตและคิดค้นวิจัยโดยทีมกุมารแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น ที่นำเทคโนโลยีในหลายๆ ด้านมาใส่ในรถเข็นและคาร์ซีท  ภายใต้คอนเซ็ป The reason behind that smile ผลิตภัณฑ์ สำหรับเด็กที่ดีเยี่ยมเพื่อสร้างรอยยิ้มให้กับทุกครอบครัว

ประวัติความเป็นมาของ Aprica ที่คุณอาจไม่เคยรู้

  1. Aprica ก่อตั้งในปี 1947 ด้วยความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการดูแลเด็กทารกให้มีคุณภาพสูงสุด

  1. ได้รับความไว้วางใจจากคุณแม่ชาวญี่ปุ่นและนานาชาติมากว่า 70 ปี

  1. เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก อันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น

  1. ศูนย์กลางวิจัยเกี่ยวกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์เด็กตั้งอยู่ในเมืองนาราประเทศญี่ปุ่นด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 10,000 ล้านเยน

  1. Aprica เป็นบริษัทแรกในโลก ที่มีการใช้หุ่นจำลองเด็กทารกขนาด 2.5 kg. ที่มีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านบาท โดยหุ่นจำลองนี้มีข้อต่อและอวัยวะในร่างกายเช่นเดียวกับเด็กทารก ติดตั้งเซ็นเซอร์ตัวรับสัญญาณในส่วน ต่างๆ ทั่วร่างกาย เพื่อตรวจวัดการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการกระแทกในอุบัติเหตุจำลองรูปแบบต่างๆ

  1. Aprica ได้รับเกียรติให้เป็นผู้จัดทำรถเข็นและผลิตภัณฑ์เด็กรุ่นพิเศษ ภายใต้ชื่อ Royal Knot เพื่อทูลเกล้าถวายแด่ราชวงศ์ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงเชื้อพระวงศ์ในอีกหลายประเทศทั่วโลก

  1. ได้รับรางวัลทรงเกียรติจากสถาบันนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น
  • รางวัล “Naito KotobukiShichiro” รางวัลศูนย์เด็กเล็กระหว่างประเทศ
  • รางวัลให้คำปรึกษายอดเยี่ยมจาก รพ.สาธรณะสุขท้องถิ่นในญี่ปุ่น
  • ได้รับการยอมรับจากหนังสือพิมพ์ “Mainichi Shimbun”
  • รางวัลนานาชาติเรื่องการดูแลเด็ก
  • รางวัล PARENTING AWARD

  1. เป็นผู้คิดค้นคาร์ซีทแบบนอนได้ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามวัยของทารก ซึ่งถือได้ว่าเป็นคาร์ซีทที่เหมาะสำหรับเด็กมากที่สุด

  1. ได้คิดค้นรถเข็นเด็กแบบพับได้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในปี 1949

  1. ทุกวันนี้ Aprica ยังคงทุ่มเทพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เด็กๆ และทุกครอบครัวมีแต่รอยยิ้มอย่างมีความสุข

พบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ ร่วมฉลอง Aprica เข้าสู่ปีที่ 70 อย่างยิ่งใหญ่ กับโปรโมชั่นสุดคุ้ม เลือกช้อปได้ที่ Baby Gift ทุกสาขา รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกเลย : BabyGiftRetail

รีวิวรถเข็นเด็กที่ทุกบ้านควรมี Aprica Magical Air Plus Highseat

สวัสดีค่ะ ^_^  อุปกรณ์คู่ใจของแม่ ๆ สุดสตรองทุกท่านก็คงหนีไม่พ้น “รถเข็นเด็ก” จริงไหมคะ..? ส่วนตัวมดเอง ลองใช้รถเข็นมาหลายยี่ห้อ แต่ตอนนี้บ้านเรากำลังจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหลายวัน รถเข็นคันเดิมเริ่มไม่ตอบโจทย์เรื่องการพกพาอีกต่อไปแล้ว เพราะแค่ของใช้ก็เต็มรถแล้วค่ะ เราจึงมีโจทย์ในการหารถเข็นคันใหม่ว่า ต้องมีน้ำหนักเบา พับเก็บง่าย และแน่นอนว่าต้องเป็นแบรนด์ดังที่แม่ ๆ ไว้ใจ

เหมือนสวรรค์มีตา 555 เพราะไม่กี่วันต่อมา เราก็ไปเจอใน IG คุณโอปอล์ว่า เพิ่งถอยรถเข็นใหม่ให้น้องอลิน อลันเหมือนกัน แถมยังเชียร์ว่ามันเบา ใช้งานสะดวกมากกก คุณแม่ขาช็อปอย่างเราก็ไม่รอช้าค่ะ ไปซื้อตามด่วน ๆ

คุณโอปอล์ซื้อรถเข็นจากร้าน BABYGIFT ค่ะ มดเองไม่มีเวลาไปที่ร้าน เลยสั่งซื้อออนไลน์ กดสั่งปุ๊บ รอไม่นานก็มีน้องเสียงสวยโทรมานัดวันจัดส่งทันที 2 วันก็ได้ของค่ะ สะดวกมากก

แล้วเราก็ได้รถเข็นที่ตอบโจทย์การใช้งานมา 1 คัน และนี่คือ Aprica Magical Air Plus Highseat” รุ่นนี้มีจุดเด่นตรงที่ เล็ก และน้ำหนักเบา ที่สุด  ตัวนี้เค้าแนะนำสำหรับเด็กไม่เกิน 15 โล แต่ลูกบ้านนี้หนัก 16 โลก็ยังนั่งสบาย ๆ เลยค่ะ ราคาอยู่ที่  10,335 บาท

อย่างที่ทราบกันดีว่า “ถ้ารถเข็นต้อง Aprica”  ดังนั้นเค้าจึงมีความพิเศษค่ะ
รุ่นนี้น้ำหนักเบาเพียง
3.3 kg ถือมือเดียวได้สบาย ๆ และที่นั่งเป็นแบบ High Seat สูงจากพื้นดิน 52 cm. ซึ่งจะทำให้ฝุ่นละอองและความร้อนจากพื้นนั้นห่างจากลูกยิ่งขึ้น แถมยังสามารถพับเก็บได้แบบ One Step และล้อทั้ง 4 ก็จะติดกับพื้น ลากได้สบาย ๆ ค่ะ จะขึ้นรถ ลงเรือ เดินทางกันสองคนแม่ลูกก็ไม่เป็นอุปสรรค ชิลล์ไปอีกกก

เวลาพับเก็บจะประมาณนี้ค่ะ ล้อติดกับพื้นลากได้เลย

ตัวพนักพิงค่อนข้างกว้าง แถมยังปรับเอนได้ นั่งสบาย
มี
Belt ถึง 5 จุด เด็กซนมากก็เอาอยู่ค่ะ

ที่กั้นหน้ารถเปิดออกได้ อุ้มลูกขึ้นลงได้สะดวกค่ะ

ความพิเศษอีกอย่างของรุ่น Plus ก็คือ ในส่วนของหลังคาบังแดดจะใหญ่ขึ้น ช่วยกัน UVได้ดีขึ้น และมีม่านตาข่ายที่ช่วยระบายอากาศและความร้อนได้เป็นอย่างดี และสามารถมองวิวทิวทัศน์ได้สบาย ๆ แถมยังมีช่องระบายความร้อนที่มาพร้อมฉนวนกันความร้อนพิเศษ จะทำหน้าที่สะท้อนความร้อน ไม่ให้สะสมที่หลังของลูก ดังนั้นไม่ว่าอากาศจะร้อนแค่ไหน เค้าก็ยังสบายตัวแน่นอนค่ะ

ช่องเก็บของ ขนาดกำลังพอดีค่ะ ปกติบ้านนี้เอาไว้ใส่ขวดน้ำ ทิชชู่เปียก

อันนี้ไม่ใช่ล้อหักนะคะ แต่ร้านเค้าบอกว่ามันคือล้อระบบ 3D Suspension ที่จะปรับเอียงองศาเพื่อรักษาสมดุลของที่นั่ง ช่วยลดแรงกระแทกเหมือนโช๊คอย่างนึง ทำให้ลูกนั่งได้สบายมากขึ้น เริ่ดมากก

จากที่ใช้มาสักพัก ก็รู้สึกประทับใจและอยากแนะนำต่อค่ะ เราสองคนแม่ลูกไปไหนกันเองได้สะดวกขึ้น ด้วยการพับเก็บแบบ One Step ที่เค้ามีให้ พับกางมือเดียวไม่เสียเวลาเลยค่ะ ขึ้น BTSหนีรถติดกันประจำ ฮ่า ๆ บอกได้เลยว่า คนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวต้องมีไว้! และความเป็น High Seat ก็ทำให้แม่เชื่อมั่นขึ้นไปอีก ว่าเหมาะกับเมืองที่อากาศร้อนและฝุ่นเยอะอย่างไทยมากกกนอกจากนี้จะถอดเบาะซัก ทำความสะอาดก็ง่าย เอาเป็นว่าปลื้มมมม รถเข็นนี่เป็นของที่ไม่ต้องซื้อกันบ่อย ๆ เพราะฉะนั้นจะซื้อซักคันก็ควรเลือกที่คุณภาพดี คุ้มค่านะคะ

สุดท้ายนี้ถ้าคุณแม่สนใจรถเข็นเด็ก หรืออุปกรณ์อื่น ๆ สำหรับแม่และเด็ก สามารถเลือกชมได้ทาง www.babygiftretail.com นะคะ

เขียนโดย Natthanya Wongkhajornklaiขอบคุณแหล่งที่มาจาก : adaywithminimilin